ตอนที่ 2
ยุคสมัยอิมามโคมัยนี 1979-89
อิมามโคมัยนี้ ได้หยิบยกประเด็นความสำพันธ์ระหส่าง มูหมัด เรซา ปาห์เลวี ที่มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับอิสราเอล มาเป็นประเด็นหลักของการโค่นล้มล้มชาฮฺ อิมามโคมัยนีประกาศว่า อิสราเอลนั้นเป็นศัตรูของอิสลาม เป็น “ซาตานตัวเล็ก” และสหรัฐอเมริกาถูกเรียกว่า “ซานตานตัวใหญ่” ในการอภิปรายในทุกที่อิมามฯ เรียกร้องให้มีการลบอิสราเอลออกไปจากแผนที่ โดยถือเป็นนโยบายหลักของกองทัพ ในการหาวิธีที่กำจัดระบอบการปกครองของเยรูซาเล็มในขณะนั้นให้ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์”
ในช่วงที่สองของการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 ภายหลังจากการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านแล้ว อิหร่านได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ และได้วางมาตราการต่อต้านไซออนิสต์อย่างแหลมคม และชัดเจน
ในเรื่องนี้ ดร.ทรีทา ฟาร์ซี ได้เขียนในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า พันธมิตรทุจริต : สัมพันธ์ลับ อิหร่าน อิสราเอลและสหรัฐอเมริกา (พิมพ์ที่ มหาวิทยาลัย เยล 2007) มองว่า มันเป็นยุทธศาสตร์รัฐบาลอิมามโคมัยนี้ ที่ต้องการจะสกัดความช่วยเหลือของรัฐยิว ที่จะเข้ามาแทรกแซงในอิหร่าน
ยุคของท่าน อยาตุลลอฮ์อาลี คอมาเนอี 1989-ปัจจุบัน
ข้อสังเกตุของท่านผู้นำ อาลี คอมาเนอี
ในธันวาคม ปี 2000 อายาตุลลอฮ์ อาลี คอมาเนอี เรียกอิสราเอลว่า เป็นมะเร็งร้าย ที่ควรจะต้องเอาออกไปจากพื้นที่ ปี 2005 เขาเน้นย้ำว่า แผ่นดินปาเลสไตน์ ต้องเป็นของปาเลสไตน์ และชาวปาเลสไตน์จะต้องเป็นผู้ที่กำหนดชะตากรรมของแผ่นดินปาเลสไตน์ ในปีเดียวกันนั้น ท่านอาลี คอมาเนอี ได้สนับสนุนจุดยืนของประธานาธิบดี อะห์มาดีเนจาด ที่ประกาศว่า อิสราเอล ควระถูกกำจัดให้สิ้นซากออกไปจากแผนที่ อีกทั้งประกาศว่า สาธารณรัฐอิสลามไม่เคยข่มขู่และจะไม่คุกคามประเทศใด
ยุคของประธานธิบดี คอตามี 1997-2005
.ในปี 1997 ภายใต้ระบอบการปฏิรูปของอิหร่าน นายมูฮัมมัด คอตามี ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี หลายคนเชื่อว่า ในยุคสมัยนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ประธานาธิบดีคาติมี กลับเรียกอิสราเอลว่า “เป็นรัฐที่ผิดหมาย และเป็นรัฐกาฝาก แต่ท่านก็ได้ประกาศจุดยืนในปี 1999 ว่า ชาวยิวทุกคนจะปลอดภัยในอิหร่าน และชนกลุ่มทางศาสนาในอิหร่านทั้งหมด จะได้รับการคุ้มครอง แต่มีรายงานบ่งชี้ว่า ในช่วงปี 2003 อิหร่านเริ่มสร้ายสายสัมพันธ์กับอิสราเอล โดยตระหนักถึงการมีอยู่ของรัฐอิสราเอล อีกทั้งยังมีข้อเสนอสันติภาพมากมายไปยังสหรัฐอเมริกา รายงานยังระบุอีกว่า ข้อเสนอสันติภาพระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลนั้นไม่ถูกตอบรับจากสหรัฐอเมริกา ในปี 2004 คาตามิ ได้ตอบคำถามแก่นักข่าวอิสราเอล และยอมรับในการมีอยู่ของรัฐอิสราเอล ซึ่งนั่นถือเป็นครั้งแรกที่เขาพูดต่อหน้าสาธารณะชนชาวอิสราเอล และในเดือนเมษายน 2005 ซึ่งเป็นงานศพของพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่ 2 คอตามี ได้นั่งติดกับประธานาธิบดี อิสราเอลโมเซ่ คัทซาบ ซึ่งเป็นชาวยิวที่เกิดในอิหร่าน เขาทั้งคู่เป็นคนที่มาจากจังหวัดยาซด์ ในอิหร่านเหมือนกัน ทั้งคู่ได้จับมมือกัน และต่างก็สนทนากันสั้นเกี่ยวกับอิหร่าน แต่คาตามี ปฏิเสธ
ในยุคของประธานาธิบดี อาห์มาดีเนจาด
มะฮ์มูด อะห์มาดีเนจาด ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิหร่านนเดือนสิงหาคม 2005 ทันทีที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน เขาได้จัดให้มีการประชุมระหว่างประเทศขึ้นที่เตหะราน ในหัวข้อเรื่อง เมื่อโลกปราศจากไซออนิสต์ นับเป็นการต่อต้านลัทธิไซออนิสต์ที่ชัดเจนที่สุด ในวันที่ 8 เดือนธันวาคม 2005 ในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดประเทศมุสลิม ที่มหานครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาราเบีย อะห์มาดีเนจาด ได้ให้สัมภาษณ์ สถานีโทรทัศน์ ช่องภาษาอาหรับ (อัลอาลัม) ที่มีอิหร่านเป็นเจ้าของ ถึงเลห์กล การสร้างความหายหนะของรัฐบาลอิสราเอล นับตั้งแต่นั้นมัน ประเด็นการก่อความเสียหายของอสราเอลจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นการสัมมนาระหว่างประเทศของโอไอซีมาตลอด
บทบาทของซุลตอเนฮ์ เอกอัครราชทูตของอิหร่านใน IAEA
ในเดือนเมษายน /2006 วู๊ฟ บริทเซอร์ ผู้สื่อข่าว ซีเอ็นเอ็น ได้สัมภาษณ์ซุลตอเยฮ์ เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำIAEA
บริทเซอร์ (......) นี่คืออะไร (........) ที่อะห์มาดีเนจาด พูด(......) “อิสราเอลต้องถูกลบออกจากแผนที่โลก” และพระเจ้ากำลังจะ(.........) เราจะได้สัมผัสกับโลกที่ไม่ต้องสหรัฐและไซออนิสต์” คุณเข้าใจหรือว่าทำไม ผู้คนในตะวันตก (.........) เขารู้สึกวิตกกังวล(........)ในการที่ไปสร้างภัยคุกคามโดยตรงกับอิสราเอล(......)”
ซุลตอเนฮฺ : “(........) นโยบายของสาธารณรัฐอิสลาม (........) เราได้ทำการสั่งสอนมาต้นแต่ต้นแล้วว่า เราจะต่อต้านระบบการปกครองที่กดขี่ เหยียดผิว และโดยเฉพาะระบอบไซออนิสต์ (........) ซึ่งมันจะต้องหายไป และมันก็ไม่ถูกยอมรับในโลกศิวิไลน์นี้ และระบอบไซออนิสต์ มันเป็นการรุกรานประชาชาติ และมันควรที่จะต้องถูกประนาม (.......)
บริทเซอรฺ : คุณไม่ต้องการสนับสนุน และต้องการที่จะกำจัดระบอบไซออนิสต์ออกไป นั่นหมายความว่าคุณต้องการที่จะให้อิสราเอลถูกทำลายหรือ?”
ซุลตอเนฮ์ : (.......) ชาวยิว คริสเตียน และมุสลิม (......) พวกเขาทั้งหมด เป็นชาวปาเลสไตน์ แต่ชาวปาเลสไตฯเหล่านั้น กลับไร้ที่อยู่ในดินแดนของเขา และกระบวนการประชาธิปไตยของเขา ก็สามารถที่จะตัดสินใจเองได้เกี่ยวกับเรื่องของดินแดนและสันติภาพของพวกเขาเองได้ (.....) และอิหร่านก็สนับสนุน เรา(......) สนับสนุน การตั้งถิ่นฐานอย่างสงบ บนพื้นฐานของสันติภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในตะวันออกกลางแห่งนี้ เราหวังที่จะให้เกิดสันติภาพ
บริทเซอร์ : แต่เราก็ควรที่จะคำนึงถึงสถานภาพของอิสราเอลด้วยมิใช่หรือ?
ซุลตอเนฮ์ : “ผมคิดว่าผมได้ให้คำตอบแก่คุณแล้วนะ ถ้าอิสราเอลยังคงถูกครอบงำโดยลัทธิไซออนิสต์ ไม่ แต่ถ้าคุณไปสรุปว่า เราหมายความว่าคนที่นั่นจะต้องถูกลบออก หรือ ต้องถูกสังหารหมู่ นั่นคุณกำลังอุตริมันขึ้นมา ผมถือว่านั่นเป็นการคิดร้ายต่อนโยบายของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (......)
รองประธานาธิบดี มาชาอี
การปราศรัยใน การประชุมว่าด้วยการเที่ยว ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเตหะราน ในเดือนกรกฏาคม 2008 อิสฟันดาร์ ราฮิม มาชาอี รองประธานาธิบดี และกำกับดูแล องค์กรมรดกทางวัฒนธรรมของอิหร่าน ได้ประกาศว่า “ ไม่มีประชาชาติใดในโลกเป็นศัตรูของเรา อิหร่านเป็นเพื่อนกับทุกประเทศ รวมถึงชาวอเมริกันและอิสราเอล เรายืนยันด้วยเกียรติของเรา และเราก็มองว่าประชาชาติอเมริกา เป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ของโลก” นอกจากนี้เขายังกล่าวเสริมว่า อิหร่าน ไม่ต้องการทำสงครามกับประเทศใดๆ และยืนยันว่าในช่วงระหว่างสงครามระหว่างอิหร่านกับอิรักนั้น ล้วนแต่เป็นสงครามเพื่อป้องกันตัวเองทั้งสิ้น มีข้อที่น่าสังเกตุว่าคำปราศรัยที่แข็งกร้าวของรองประธานาธิบดี มาชาอีนั้นถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม อะห์มาดีเนจาด ก็ยังคงปกป้องเขา อะมาดีเนจาด ได้กล่าวถึงจุดยืนของอิหร่านอีกครั้งการประชุมครั้งใหม่ พร้อมทั้งกล่าวปราศัยว่า “ ประชาชาติอิหร่าน ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล”แต่เรารู้สึกสงสาร สำหรับผู้คนที่พยายามที่จะลักลอบเข้าไปอยู่ในอิสราเอล ซึ่งมันเป็นรัฐที่กดขี่ ในประเด็นดังกล่าวนี้ได้ถูกแจ้งไปยังผู้นำสูงสุด อะลี คอมาเนอี ท่านได้ออกมาเรียกร้องให้ จบการโต้เถียงกันเอง เกี่ยวกับเรื่องของอิสราเอล ในช่วงของคุตบะฮ์วันศุกร์ ที่กรุงเตหะราน โดยท่านได้กล่าวว่า “ “มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีเหตุผล ไร้แก่นสาร ไร้สาระ ที่จะกล่าวว่าเราเป็นเพื่อนกับอิสราเอล .... เราอยู่ในห้วงของการแตกหักกับระบอบไซออนิสต์ที่ครอบครองปาเลสไตน์ นี่คือจุดยืนของระบอบการปฏิวัติของเรา และของชาวอิหร่านทุกคน
|