ปฏิวัติอาหรับ The Arab Spring
(การเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอาหรับ)
การเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของอาหรับ หรือ The Arab Spring หรือที่ชาวอาหรับเรียกมันว่า 'อัรราบีอุ้ลอัรบีย์' อาจหมายถึงคลื่นแห่งการตื่นตัวของอาหรับ หรือคลื่นแห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยในอาหรับ โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 18ธันวาคม 2010 เริ่มจากตูนีเซีย ต่อมาที่อิยิปต์ และลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองในลิเบีย เข้าสู่บาห์เรน ซีเรีย และยังผลให้เกิดการลาออกของนายกรัฐมนตรีของเยเมน เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในอัลจีเรีย อิรัก จอร์แดน คูเวต โมรอคโค และโอมาน และเกิดการประท้วงเล็กๆใน เลบานอน มอริทาเนีย ซาอุดิอาระเบีย ซูดาน และทางตะวันตกของซาฮาร่า เกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนของอิสราเอลปาเลสไตน์ในเดือน พฤษภาคม 2011 สถานการณ์การเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เป็นผลมาจาก The Arab Spring รวมทั้งสิ้น 194 สถานการณ์
ผู้ชุมนุมประท้วง ได้ใช้วิธีการประท้วงอย่างสันติภายใต้กฏหมาย มีการรณรงค์นัดหยุดงาน มีการเดินขบวน การแสดงออก โดยใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร และจัดอองค์ในการระวัง และให้ผู้คนได้ตระหนักในการที่รัฐบาลยามที่จะปิดสื่อ หรือสร้างข้อจำกัดทางอินเตอร์เน็ท
ในการชุมนุมประท้วง ผู้ที่เคลื่อนไหวต่างก็ได้รับการตอบโต้จากหน่วยงานความมั่นคงของรัฐอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกองกำลังที่สนับสนุนรัฐบาล เป็นผลให้ประชาชนแห่งโลกอาหรับ ต้องปรับสโลแกนของการประท้วงจากประชุมนุมแบบนัดหยุดงานไปสู่ การโค่นล้มระบบการปกครอง โดยใช้สโลแกนในการรณรงค์ว่า ' อัซชัฟยูรี่ อิสคัด อันนิซอม' (จงโค่นล้มระบบการปกครองแบบทรราชย์)
ภาพรวม
ซี่รี่ย์ของการประท้วง และการเดินขบวน กินข้ามจากตะวันออกกลางไปจนถึงอัฟริกาเหนือ และเป็นที่รู้กันในนามของ อาหรับสปิงกิ้ง หรือการเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของอาหรับ และบางครั้งก็เรียกว่าฤดูใบไม้ผลิ หรือการเข้าสู่ฤดูหนาวของอาหรับบ้าง การตื่นตัวของอาหรับบ้าง การจลาจลของอาหรับบ้าง ก็สุดแล้วแต่ โดยมันถูกจุดประกายครั้งแรกในวันที่ 18 ธันวาคม 2010 จากการที่นายมุฮัมมัด เบาว์ซีซี่ (Mohammad Bouazizi) ได้ทำการเผาตนเอง เนื่องมาจากการที่เจ้าหน้าที่ทำตำรวจ ได้สร้างความเสียหายให้เขา คลื่นแห่งความไม่สงบมันจุดถูกจุดประกายจากการที่ชายคนนั้นเผาตัวเองอันเนื่องมาจากความอยุติธรรม และมันได้เผาต่อไปยัง อัลจีเรีย จอร์แดน อิยิปต์และเยเมน และแพร่จายไปยังไปเทศอื่นๆโดยรอบ และกินบริเวณกว้าง ซึ่งประชาชนต่างก็ขนานนามวันนั้นว่าเป็นวันแห่งความโกรธ Day of rage และเริ่มมีการจัดองค์กรชุมนุมประท้วงกันมาตลอด โดยอาศัยช่วงเวลาหลังละหมาดวันศุกร์ ของทุกๆสัปดาห์
ในเดือนพฤศจิกายน 2011 รัฐบาลของตูนีเซียต้องล้มลง ประธานาธิบดี ซีน อัลอาบิดีน บินอาลี ต้องหลบหนีลี้ภัยไปอยู่ในซาอุดิอาระเบียในวันที่ 14 มกราคม 2011 อันเนื่องมาจากการปฏิวัติโดยประชานในตูนีเซีย ในอิยิปต์ ประธานาธิบดี ฮอสนี่ มุบารัค ได้ประกาศลาออกในวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2011 หลังจาก 18 วันของการประท้วงใหญ่ เป็นการจบสิ้นของการครองอำนาจถึง 30 ปีของเขา 23 สิงหาคม 2011 รัฐบาลของมุอัมมาร กัดดาฟี ของลิเบียต้องล้มลง หลังจากนั้นสภาเฉพาะกาลแห่งชาติ ก็เข้าควบคุมแทน กัดดาฟี ถูกฆ่าตายในวันที่ 20 ตุลาคม ที่บ้านเกิดของเขา
ในช่วงเวลาแห่งความไม่สงบผู้นำในภูมิภาคนี้ ต่างก็ออกมาแสดงเจตนารมณ์ของตนต่อประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อุมัร อัลบาชิร ประธานาธิบดีแห่งซูดานประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในปี 2015 นูรี อัลมาลิกี นายกรัฐมนตรีแห่งอิรักก็ประกาศว่า ระยะเวลาของอำนาจของจะสิ้นสุดลงในปี 2014ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากต้องการให้เขาลาออกโดยทันที มีการประท้วงกันในจอร์แดน โดยให้เหตุผลว่าทั้งรัฐบาล และกษัตริย์อับดุลลอฮ์ ได้ร่วมมือกันปล้มสะดมภ์ประชาชน ส่วนผู้นำอื่นๆอย่างเช่น ประธานาธิบดีอับดุลลอฮ์ อาลี ซอและห์ แห่งเยเมน ก็ประกาศเมื่อวันที่ 23 เมษายนว่า เขาจะลงจากอำนาจในสามสิบวันเพื่อแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัย ฝ่ายค้านของเยเมนได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการในวันที่ 26เมษายน ซอและได้ตบัดสัตย์ แล้วเข้าควบคุมอำนาจต่อ และทำให้เกิดการจลาจลอีกครั้ง
การเมืองและการประท้วงในตะวันออกกลางนับเป็นเรื่องที่ชาวโลกต่างให้ความสนใจ ผู้นำการประท้วงบางคน อย่างเช่น ตะวักกั้ล คามาล จากเยเมน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และในที่สุดเข้าก็ได้รับรางวัลโนเบล เป็นหนึ่งในสามของผู้นำที่โดดเด่น แห่งการปฏิวัติอาหรับ
ภูมิหลัง
แรงจูงใจ
มีหลายปัจจัยที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วง อย่างเช่น การปกครองแบบเผด็จการ หรือแบบสมบูรณาญาสิทธิราช การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทุจริตภาครัฐ การล้มเหลวในระบบเศรษฐกิจ การว่างงาน ความยากจนอันมาจากโครงสร้างที่ล้มเหลว เช่นการเพิ่มขึ้นของเยาวชนแต่รัฐบาลไม่สามารถส่งเสริมภาคการศึกษาให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ในช่วงปี 2009 การประท้วงที่เกิดขึ้นในอิหร่านถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ที่อยู่เบื้องหลังของการลุกขึ้นสู้ จนทำให้เกิด อาหรับสปิงกิ้ง และถือเป็นเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติขึ้นทางตอนเหนือของอัฟริกา และประเทศในรอบอ่าวเปอร์เซีย ความไม่ยอมเพียงพอของภาครัฐ ได้ส่งผลกระทบไปสู่เยาวชนโดยตรง จนเยาวชนต่างปฏิเสธสภาพที่จะยอมรับในสภาพที่เป็นอยู่ได้ สินค้ามีราคาแพง ความยากจนแผ่ปกคลุมมากขึ้น และที่สำคัญอย่างยิ่งการดำเนินงานทางการทูตของสหรัฐก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง
'ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มาตราฐานการครองชีพได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับอัตตราการรู้หนังสือ ขณะเดียวกันก็เกิดช่องว่างสำหรับการศึกษาที่สูงก็เพิ่มขึ้น แต่ดัชนีการพัฒนาที่ดีขึ้นของมนุษย์ได้รับผลกระทบ ความตึงเครียดของผู้คนก็ยิ่งทวีสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการขาดการปฏิรูปของรัฐบาล เยาวชนจำนวนมากของประเทศเหล่านี้ต่างให้ความสนใจในเรื่องอินเตอร เน็ตมากขึ้น โดยที่ระบบอุปภัภ์ของราชวงค์ไม่ได้ให้การดูแลในสิ่งนี้เลย' อัลนัจมา ซิจจารี่ หนึ่งในศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในโอมาน กล่าวว่า มันหมายถงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของขบวนการเยาวชนอาหรับ
ตูนีเซีย และอิยิปย์ ถือเป็นประเทศแรกๆ ที่เป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงความสำเร็จของการปฏิวัติโดยประชาชน แตกต่างจากที่อื่นๆที่เกิดขึ้นอันอัฟฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง เช่นในอัลจีเรีย และลิเบีย พวกเขาขาดรายได้จากน้ำมันอย่างมีนัยยะสำคัญ จนไม่สามารถที่จะรักษาความสงบจากผู้คนได้
สถานการณ์ล่าสุด
คลื่นการประท้วงในปัจจุบัน ไม่ปรากฏสถานการณ์ใหม่ๆที่เป็นกิจกรรมที่ไม่ลงรอยกัน คงเป็นกิจกรรมการขัดแย้งในเรื่องของแรงงานเหมือนกับทุกปี ซึ่งเกิดขึ้นในอัลจีเรีย อิยิปต์ และประเทศในแถบซาฮาร่าตะวันตก
ในตูนีเซีย เคยมีประสบการณ์ความขัดแย้งที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงสามปี นั่นก็คือ การประท้วงที่เกิดขึ้นที่เหมืองแร่ง กัฟซาร์ ในปี 2008ซึ่งได้มีการประท้วงกันต่อเนื่องหลายเดือน มีการนั่งชุมนุม นัดหยุดงาน มีผู้บาดเจ็บ และชีวิต และถูกจับกุมนับสิบคน ขบวนการแรงงานของอิยิปต์ มีความแข็งแกร่งมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2004เป็นต้นมา มีสภาชิกเพิ่มมากขึ้นกว่า 3000คน หนึ่งในบทบาทสำคัญก็คือการนัดหยุดงานในช่วงวันที่ 6 เมษายน 2008 ในโรงงานสิ่งทอของรัฐ อัลมะฮั้ลลา อัลกุบรอ ซึ่งอยู่นอกกรุงไคโร ความคิด ความตื่นตัวในการเคลื่อนไหวนั้น ได้ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ ด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรืออินเตอร์ เน็ต โดยบรรดานักศึกษา และชนชั้นกลาง มีการตั้งค่าบนหน้า เฟสบุ๊ค รณรงค์สนับสนุนให้มีการนัดหยุดงาน และให้ผู้คนนับหมื่นเฝ้าติดตาม ส่วนรัฐบาลก็ระดมพลที่จะทำลายการนัดหยุดงาน พร้อมทั้งใช้กำลังตำรวจปราบปรามการประท้วงกับทุกคนที่ต่อต้านรัฐบาล ประชาชนเริ่มต่อต้านอำนาจรัฐมากขึ้น โดยตั้งเป็นขบวนการที่ประชุม 6 เมษา '6 April Committee' ซึ่งเป็นการรวมกันของเยาวชน และนักเคลื่อนไหวทางด้านแรงงาน และกลายมาเป็นกองกำลังสำคัญในการโค่นมุบารัก เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ ตะรีร สแคว์ Tahrir Square.
ในอัลจีเรีย เกิดความไม่พอใจอันเนื่องมาจากปัญหาที่สะสมมากขึ้นในแต่ละปี จนกระทั่งเดือน กุมภาพันธ์ 2008 เอกอัครราชทูตสหรัฐ ได้เขียนในรายงานทางการทูตส่งผ่านวอชิงตันว่า อัลจีเรียล ไม่ประสบกับความสุข อันเนื่องมาจากความแปลกแยกทางการเมืองที่ยาวนาน ผู้คนไม่พอใจรัฐบาลและมีการนัดหยุดงานเกือบทุกสัปดาห์ อันเนื่องมาจากเรื่องของอาหาร บางที่มีการประท้วงเกือบทุกวัน ในช่วงปี 2010 เกิดความไม่สงบเกิดขึ้นในอัลจีเรียถึง 9700 ครั้ง การประท้วงหลายครั้งมุ่งเน้นในเรื่องต่างๆโดยเฉพาะในเรื่องการศึกษา การดูแลสุขภาพของประชาชน ตลอดจนเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น
ในซาฮาร่าตะวันตก ที่เกิดการประท้วงที่ค่าย Gdeim Izik ซึ่งห่างออกไปสองกิโลฯทางตะวันออกเฉียงใต้ของ El Aaiúnโดยคนหนุ่มสาว Sahrawis เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2010 พวกเขาประท้วงต่อการเลือกปฏิบัติต่อแรงงาน ปัญหาการว่างงาน การลักขโมยทรัพยสิน ปัญหาของการปล้นทรัพยากร และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ภายในค่ายมีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 12000-20000 คน ซึ่งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010 ค่ายแห่งนี้ มันได้ถูกทำลาย และขับไล่โดยกองกำลังของรัฐบาลโมรอคโค ความวุ่นวายเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปยัง El Aaiún และเมืองอื่นๆ ทำให้ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ความรุนแรงที่กระทำต่อชาวซาฮาวิช จึงถือเป็นควันหลงที่ทำให้ผู้คนประท้วงในเดือนต่อมาหลังจากการเริ่มต้น อาหรับสปิงกิ้ง
ตัวเร่งปฏิกิร่ยาที่สำคัญที่ทำให้เกิดสถานการณ์ อาหรับสปิงกิ้ง ก็คือ กรณีการเผาตัวเองของนายมุฮัมมัด เบาซีซี่ มันก่อให้เกิดการรวมกลุ่มกัน เป็นเครือข่ายถึงความไม่พอใจในระบบการปกครอง รวมถึงปัญหาการว่างงานเป็นจำนวนมาก มาสู่การร่วมกันของผู้ไม่พอใจในระบบการปกครอง ผู้ว่างงาน นักการเมือง และนักสิทธิมนุษยชนด้านแรงงาน สหภาพการค้า นักเรียน นักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย ทนายความและอื่นๆ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ได้กลายมาเป็นประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหว และได้สร้างความสมดุลย์ที่เพียงพอที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นขึ้นอย่างในปัจจุบัน
บทวิเคราะห์
ขอบเขตของกลุ่มชาติพันธ์
นักวิเคราะห์จำนวนมาก รวมถึงนักหนังสือพิมพ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีส่วนสำคัญในการเคลื่อนไหว มองว่า มันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอาหรับ แและแน่นอนการชุมนุมประท้วง และการจลาจล นั้นมีความแข็งแกร่ง และแผ่กว้างเข้าไปถึงทุกประเทศที่พูดภาษาอาหรับ ซึ่งต่างให้ความสนใจและเรียกมันว่า เป็นการเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอาหรับ ซึ่งเป็นการเล่นบทปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการปฏิวัติในปี 1968 ที่ประชาชนได้ตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตย ในเชคโกโสวาเกีย ก่อนที่จะเป็นคอมมิวนิสต์ ที่มักจะมีการกล่าวถึงการประท้วง การจลาจล และการปฏิวัติโดยประชาชนที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น
อย่างไรก็ตามสื่อต่างประเทศ ยังได้ตั้งข้อสังเกตุถึงบทบาทของชนกลุ่มน้อยในหลายประเทศ ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติ นอกจากนี้ ซี่รี่ย์ของปฏิวัติเหล่านี้ ได้ปรากฏเครื่องหมายของความเป็นประชาชาติอาหรับ และรวมถึงความปรารถนาในเรื่องสิทธิชน และเสรีภาพ ประชาธิปไตย์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม แม้แต่ในประเทศที่มีชาวอาหรับเป็นประชากรส่วนใหญ่ก็ตาม
ในตูนีเซีย นับเป็นครั้งแรกที่ชนกลุ่มน้อยชาวยิว ได้ลุกขึ้นมาร่วมต่อต้านบินอาลี และรัฐบาลของเขา จนกล่าวได้ว่าชาวยิวก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติที่นั่น ชนกลุ่มน้อยชาวคอปติก ซึ่งเป็นชาวอิยิปต์โบราณต่างก็ออกมาวิพากวิจารณ์รัฐบาลมุบารัก ถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการปราบปรามมุสลิมหัวรุนแรง ที่มักจะโจมตีชุมชนคอปติก และให้โอกาสกับพวกหัวรุนแรงเหล่านี้ที่ได้ทำลายชุมชนอิยิปต์โบราณจนต้องล่มสลายลง จนกระทั่งสมเด็จพระสันตปาปา Shenouda III แห่งคริสตจักรออธอดอกซ์ แห่งอเล็กซานเดรีย ถึงกับร่ำไห้ต่อการสิ้นสุดของชุมชนคอปติก ชาวออฟติกเหล่านี้ได้มามาส่วนร่วมในการประท้วง แต่สื่อต่างชาติได้รายงานเรื่องนี้น้อยมาก
เป็นความจริงที่ว่า การจลาจล หรือการปฏิวัติ ได้เริ่มขึ้นจากอัฟริกา และได้แพร่กระจายไปยังประเทศอาหรับแถบเอเซีย อีกทั้งชาวบาร์เบอร์แห่งลิเบียก็เข้าร่วมประท้วงและต่อสู้อย่างหนาแน่นด้วยความเป็นอัตลักษ์ชาวบาร์เบอร์ ชาวบาร์เบอร์บางคนมองว่า การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการปฏิวัติ ของอัฟริกาเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของอิยิปต์ซึ่งเป็นชาวบาร์เบอร์ และมันเป็นบาร์เบอร์สปิงกิ้ง บางคนเรียกมันว่า บาร์เบอร์ อาหรับ สปิงกิ้ง ในโมรอคโค การปฏิวัติได้ผ่านไปด้วยการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ด้วยการลงประชามติแห่งชาติเมื่อวันที่ 1กรกฏาคม ในช่วงสงรามกลางเมืองในลิเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในละครฉากสำคัญของการต่อสู้ ที่เกิดขึ้นทางด้านตะวันตกของภูเขา นาฟูซา คนบาร์เบอร์พื้นเมืองได้จับอาวุธขึ้นต่อสู้เพื่อสนับสนุนรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งชาวบาร์เบอร์ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกของประเทศอาหรับ
ในทางภาคเหนือของซูดาน ซึ่งชาวดาร์ฟูลิส หลายร้อยคนที่ไม่ใช่อาหรับ ได้เข้าร่วมประท้วงต่อต้านรัฐบาล ในขณะที่อิรักและซีเรีย ชนกลุ่มน้อยชาติพันธ์เคิร์ด ได้เข้ามาส่วนร่วมในการต่อต้านรัฐบาล
ผลกระทบของอาหรับสปิงกิ้ง
สถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคนี้ มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่โลกอาหรับเท่านั้น แม้ว่าความสำเร็จของการจลาจล จะเริ่มต้นจากอัฟริกา และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการจลาจลของประชาชนในรัฐตอนกลางของอิหร่าน และตุรกี และการปฏิรูปนี้ ันได้เข้าไปสู่จิตวิญญาณของผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิหร่าน ซึ่งผู้คนจำนวนมากซึ่ง
ถือเป็นคลื่นเดียวกัน ที่มันถูกเริ่มที่อิหร่าน และเข้าสู่ตูนีเซีย และแผ่ขยายมากขึ้นในตะวันออกกลางและอัฟริกาเหนือ
สำหรับประเทศเพื่อนบ้านในคอเคซัส เช่น อารเมเนีย อเซอร์ไบญัน และจอร์เจีย ก็ยังได้รับอิทธิพลต่อสิ่งเหล่านี้ รวมถึงบางประเทศในยุโรป เช่นอัลบาเนีย โครเอเธีย และสเปน และบางส่วนของ ซาฮาร่า อัฟริกา บูคีน่า จิบูทิ และอูกันดา นอกจากนั้นมันยังครอบคลุมไปถึงเอเซีย รวมถึงมัลดีฟ จีน สิ่งที่เกิดขึ้นในตูนีเซียและอิยิปต์ กลับกลายเป็นความนิยม
การให้ความสำคัญของรัฐชาติปาเลสไตน์ โดยสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2011ก็ล้วนมาจาก อาหรับสปิงกิ้ง ในอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการเจรจาเพื่อสันติภาพในเวสแบง โรงเรียน สถานที่ราชการ ถูกระงับการอนุญาติให้การเสนอราคา โดยการสนับสนุนจากสหประชาชาติ ถึงกินรวมถึงเมืองลามุลลาฮ์ เบธเลเฮม และ ฮิบรอน มันเป็นการสะท้อนถึงการประท้วงอย่างสงบที่คล้ายคลึงในโลกอาหรับ
15 ตุลาคม 2011ทั่วทั้งโลกจับตาการเคลื่อนไหวประท้วงกรณีวอลสตีท ซึ่งมันเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกา และแพร่กระจายไปยังเอเซียและยุโรป ทุกคนก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจาก อาหรับสปิงกิ้ง ที่เกิดขึ้นโดยภาคประชาชนซึ่งพวกเขาเป็นพลเมืองสหรัฐ และประกาศว่า 'คุณพร้อมสำหรับช่วงเวลาของตะห์รีรหรือยัง' พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะใช้ชั้นเชิง เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้น ในการปฏิรูป แบบอาหรับสปิงกิ้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเขา จากการเหนี่ยวรั้งอำนาจขององต์กรและการควบคุมของรัฐบาลตะวันตก
ปฏิกิริยาระหว่างประเทศ
การประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ล้วนได้รับอิทธิพลมาจาก อาหรับสปิงกิ้ง ซึ่งมันมีส่วนสำคัญ และมีส่วนในการสนับสนุนให้เกิดแรงบันดาลใจให้กับประชาชนได้ลุกขึ้นมาตอบโต้และลงโทษให้กับผู้ปกครองที่ใช้ความรุนแรง เช่นในกรณีของการลุกขึ้นสู้ของชาวบาห์เรน ซีเรีย โมรอกโก เป็นการตอบสนองผู้ปกครองได้อย่างสาสม
นักวิจารณ์บางคนกล่าวหาว่า รัฐบาลจตะวันตก รวมทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ ได้พยายามอย่างเสแสร้าง ทั้งๆที่เขาก็มีปฏิกิริยาลึกกับ อาหรับสปิงกิ้ง นอม ชอมสกี้ กล่าวว่า รูปแบบการบริหารงานของโอบามานั้น เข้าใช้ความยามอย่างมากที่จะเผาคลื่นการปฏิวัติ และยับยั้ง เพื่อจะไม่ให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นในตะวันออกกลาง
นอกจากนั้นการประท้วงยังส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน จนทำให้เกิดวิกฤตพลังงานขึ้นในปี 2011 กองทุนการเงินระหว่างประเทศกล่าวว่า ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มสูงกว่าที่คาดการณ์เดิม เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางและอัฟริกาเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญของการผลิตน้ำมัน
คีนาน เอนจิน นักวิทยาศาสตร์ทางด้านการเมือง เชื้อสายเยอร์มัน ตุรกี มันคือการจลาจลแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศอาหรับและประเทศอิสลามและถือเป็น 'คลื่นที่ห้าของประชาธิปไตย' เนื่องจากมันมีคุณสมบัติที่เด่นชัดและมีคุณภาพคล้ายกับ 'คลื่นลูกที่สามของประชาธิปไตย' ที่เคยเกิดขึ้นในละตินอเมริกาในยุค 70และ80
|