สถิติ
เปิดเมื่อ18/01/2012
อัพเดท3/08/2012
ผู้เข้าชม62610
แสดงหน้า110404
ปฎิทิน
May 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
   
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 


เปิดใจ พลโท ศ.ดร.สมชาย วิรุฬหผล : แนวทางมหานครปัตตานี คงไม่ใช่ขยะทางความคิดของรัฐ

อ่าน 1253 | ตอบ 1
แนวทางเรื่องมหานครปัตตานี ไม่ทราบว่าตอนนี้ดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว
ในแง่ความคิดนั้นมันจบแล้ว  เพราะสิ่งที่เราเสนอไปนั้นมันถูกยอมรับ  และประชาชนก็เข้าใจกันพอสมควร คือแต่เดิมทางใต้นั้นไม่กล้าพูดด้วยซ้ำในแนวคิดเหล่านี้  แต่ว่าแนวคิดนี้มันก็ถูกตอบรับกับคนในพื้นที่  แม้แต่พวกขบวนการก็เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้   คราวนี้ขั้นตอนต่อไปมันก็ต้องเป็นอะไรที่เป็นรูปธรรมแล้ว  ตอนนี้กลุ่มเอ็นจีโอในภาคใต้ก็เริ่มทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว ก็เริ่มมีการเริ่มที่จะให้มีการเสนอกฏหมาย พระราชกำหนดปัตตานีมหานคร  แล้วก็ล่ารายชื่อประมาณ สองหมื่นชื่อเพื่อจะเสนอกฏหมายเข้าสู่สภา  สำหรับผมมองว่า มันก็เป็นเพียงการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ คงจะไม่เวิร์คหรอก ถึงแม้จะมีการล่ารายชื่อส่งสภา  แล้วไม่มีการล็อบบี้ในระดับการเมือง  และการเมืองไม่เอาด้วย ไม่มีทาง  และโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลไม่หนุนด้วย  ยิ่งไม่มีทางใหญ่
 
พอจะมองออกไหมว่า ทำไมพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นรัฐบาล  ได้นำนโยบายมหานครปัตตานี เข้าไปหาเสียงในพื้นที่   และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  แต่พอเป็นรัฐบาลขึ้นมากลับไม่นำสิ่งที่หาเสียงไปมาใช้เป็นนโยบายในการแก้ปัญหา
ผมมองว่าอย่างนี้ จริงๆพรรคเพื่อไทยแต่เดิมนั้นเขาไม่มีแนวนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยต่างหาก  คุณทักษิณ เองก็คิดไม่ออกหรอกว่าจะแก้อย่างไร  ถือโอกาสปล่อยมือหมด  ภาคใต้ไม่เอา  คราวนี้พอพลเอกชวลิต เข้าไปก็ได้นำแนวความคิดนี้เข้าไป ก็เป็นที่ฮือฮา  และกระทบใจคน โดยเฉพาะพี่น้องทางภาคใต้  ซึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีคนเห็นด้วยเยอะ   พอคนเห็นด้วยเยอะ  และขณะเดียวกันพลเอกชวลิตออก  พอท่านลาออก แนวทางก็เริ่มสับสน   ซึ่งในช่วงที่พี่จิ๋วอยู่ก็มีบางคนที่ไม่เห็นด้วยก็มี  แต่เนื่องจากไม่กล้าค้านพี่จิ๋ว  พอท่านออกมา ทุกกอย่างมันก็ชัดขึ้น มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  ชัดเจนขึ้น  แต่ก็ยังสบสนกันอยู่    ซึ่งคนที่เห็นด้วยกับพี่จิ๋วในพรรค ก็นำแนวคิดนี้ไปสู่คุณยิ่งลักษณ์  ซึ่งก็วิเคราะห์ออกมาว่าแนวความคิดดังกล่าวสามารถใช้หาเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านต่างก็ให้การยอมรับ    แต่ว่ากลุ่มการเมืองบางกลุ่มในพื้นที่ที่สนับสนุนพรรคนั้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และไม่เอาเลย  และไม่สนับสนุน  แต่กระแสในช่วงนั้นมันขานรับ  กลุ่มดังกล่าวเริ่มเอียงมาทางนี้  คราวนี้พอหลังเลือกตั้งปรากฏว่าเพื่อไทยแพ้หมด   กลุ่มการเมืองบางกลุ่มของพรรคก็ถือโอกาสเป็นข้ออ้างและปรากาศว่า ในเมื่อประชาชนเขาไม่เลือกเรา ก็แสดงว่าประชาชนไม่เอานโยบายเรา  

ผมมองว่ามันไม่ใช่  ถึงแม้ว่าเราจะแพ้  แต่ก็มีคนเลือกเราอยู่มาก  ในเมื่อเราสัญญากับเขาแล้ว   แล้วเราปล่อยให้คนเหล่านั้นที่เลือกเราลอยแพได้อย่างไร  ไม่ตอบสนองเขาได้อย่างไร  ในเมื่อเราแพ้เราก็แพ้ไม่มาก  แล้วคนที่เลือกเรา  เราจะว่าอย่างไร ที่เราไปสัญญากับเขา          ส่วนนายกยิ่งลักษณ์เอง  ผมเข้าใจว่า พอนำนโยบายนี้มาเดินแล้ว  กลไกข้างบนไม่ตอบสนอง (หมายถึงผู้ใหญ่ในพรรคทั้งฝ่ายตำรวจ และอีกอย่างฝ่ายทหารก็ไม่ค่อยจะชอบนโยบายนี้)  แกก็ไม่อยากเหนื่อยที่จะมาขัดแย้งกับฝ่ายทหาร  แกก็เลยเปลี่ยนความคิด   แล้วก็ประกาศว่าไม่มีความจำเป็น  วันนั้นเหตุการณ์ทางใต้ก็เริ่มกลับมารุนแรงอีก  และต่อเนื่องขึ้น
 
ในเมื่อในแนวนโยบายไม่ชัดเจน และไม่มีแผนที่จะแก้ปัญหา  แต่คงไว้ด้วยการประกาศกฏอัยการศึกอยู่เรื่อยไป ปัญหาชายแดนภาคใต้พอจะมีหวังบ้างไหม
สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาของรัฐที่ผ่านมานั้น มันผิดตั้งแต่ต้น  และก็ยังดันทุรังที่จะแก้แบบผิดๆอีก  แต่ฝ่ายที่มีความเกี่ยวพันธ์กับผลประโยชน์นั้นไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย  เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงนโยบายมันอาจจะทำให้เกิดการเสียผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง 

สองในเรื่องความคิด เกิดความไม่เข้าใจในเรื่องยุทธศาสตร์  เข้าใจแต่เพียงเรื่องของยุทธวิธี  ที่เข้าใจว่าการการใช้กลไกทางการทหาร การปราบปราม  การกดดัน  การล้อมปราบแล้วจะได้ผล  แต่ยิ่งทำมันก็ยิ่งเพรี่ยงพร้ำในทางการเมือง  เพี่รยงพร้าในทางยุทธศาสตร์  ดังนั้นถามว่าแก้ได้ไหม คำตอบก็คือ ไม่มีทางแก้  ซึ่งคนที่จะแก้ได้ก็มีเพียงรัฐบาล ที่ต้องมอบหมายหาคนที่รับผิดชอบ  เพราะว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของชาติ เป็นวาระแห่งชาติ  ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องของคนพื้นที่เท่านั้น   ซึ่งคนที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ก็มีอยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ใช่ในระดับนโยบาย   ซึ่งคนที่สนใจเรื่องนี้ก็มี  และพยายามประสาน  เอาแนวนโยบายของพลเอกชวลิตมาบ้าง  แต่แกก็ทำอะไรไม่ได้  เพราะแกเป็นหน่วยปฏิบัติ  ไม่ใช่หน่วยนโยบาย   ดังนั้นที่ถามว่าจะแก้ได้ไหม  คำตอบก็คือไม่มีทางที่ตราบใดยังเป็นเช่นนี้ และรัฐบาล ไม่ยอมที่จะออกมาเป็นเจ้าภาพ
 
 เมื่อก่อนเพื่อไทย เคยเป็นฝ่ายค้าน  และพอมาเป็นรัฐบาลมันกลับเปลี่ยนไป
เรื่องนี้คำตอบมันชัดเจนว่าเขาไม่เอาอยู่แล้ว
 
เป็นอย่างนี้ แนวนโยบายนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะทางความคิดของรัฐบาลอย่างนั้นหรือ
            ใช่   ถ้าหากรัฐจะทำ  ขั้นตอนมันก็มี และมันก็ไม่ได้ซับซ้อน อะไร  ไม่จำเป็นต้องมาถกเถียงงว่านี่มันโมเดลของเหมา  หรือโมเดลของใคร ซึ่งรายละเอียดอาจจะใช่มันเป็นอย่างนั้น  ซึ่งในทางยุทธศาสตร์ หลักเกณท์มันคล้ายกัน ก็คือ คุณต้องแยกปัญหาการเมืองออกมาให้ได้ก่อน  ซึ่งเราก็รู้ปัญหาทางใต้มันซับซ้อนกันหลายเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด   ปัญหาทางวัฒนธรรม  อิทธิพลท้องถิ่น  ผลประโยชน์ทับซ้อน  เรื่องของการเสพติดงบประมาณ 

อันดับแรกคุณต้องแยกปัญหาการเมืองออกมาให้ได้ก่อน  และการแยกปัญหาการเมืองจะใช้วิธีอย่างอื่นไม่ได้   เรื่องการเมืองต้องชัดเจน  แก้ปัญหาการเมืองให้ได้ก่อน  ส่วนปัญหาอื่นก็ใช้มาตรการปกติทำได้  ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยาก 
แต่หากคุณยังแยกปัญหาการเมืองไม่ได้ปล่อยให้มันพัวพันอยู่อย่างนี้  อย่างที่เขาออกข่าวว่าพวกขบวนการใช้ขบวนการยาเสพติด ซึ่งมันร่วมมือกัน  พอเป็นปัญหาอย่างนี้  แล้วคุณจะทำอย่างไร  คุณจะใช้มาตราการปราบยาเสพติดอย่างนั้นหรือ  มันก็ไปพัวพันกับการเมือง  ดังนั้นคุณต้องคิดว่าจะแยกขบวนการทางการเมืองอออกมาจากขบวน ยาเสพติดได้อย่างไร  ซึ่งยาเสพติดคุณต้องแก้ไปอีกด้านหนึ่ง  ส่วนเรื่องการเมืองคุณก็ต้องแก้ไปด้านหนึ่ง ซึ่งมันไม่เหมือนกัน  แต่คนเขาไม่เข้าใจ  เวลาอธิบายปัญหาที่พูดมาก็ถูก  แต่พอถามว่าแล้วจะแก้อย่างไร  เขาก็ไม่เคยคิด
 
 
ถึงตอนนี้ องค์กรภาคเอกชนในพื้นที่ ดูออกจะเดินสวนทางกับรัฐ ทั้งที่องค์กรณ์ภาคเอกชนในพื้นที่พยายามที่จะผลักดันแนวคิดมหานครปัตตานี หรืออาจจะเรียว่าปัตตานีมหานคร ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาพรรคมาก่อน  แต่ตอนนี้ มันกลับออกมาสวนทางกัน  พอจะมีความหวังที่จะทำให้รัฐกับภาคประชาชน จะสามารถกลับมาจูนให้มันลงตัวกันได้ไหม
 เรื่องนี้ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในภาคที่รัฐบาลไม่มีความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง  ก็จะมีปัญหากับเอ็นจีโอ ในแทบทุกเรื่อง แทบทุกพื้นที่  เช่นเรื่องโรงแยกก๊าซก็มีปัญหากับเอ็นจีโอ  เรื่องเขื่อนปากมูลก็มีปัญหา  แต่เรื่องมันยิ่งหนัก เพราะมันมีปัญหาแน่นอน เพราะมันเป็นการมองกันคนละทาง  มันสวนทางกัน รัฐก็มอ งในฐานะผู้ปกครองใช้อำนาจรัฐ  โดยไม่ได้มองถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจริงๆ  ถ้ามองตรงนี้ผมจึงมองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ตราบใดที่รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง  มันก็จะมีปัญหาอย่างนี้ทั่วประเทศ  
 
รัฐบาลเขาบอกว่า เขาก็มาจากการเลือกตั้งจะไม่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
ที่เป็นประชาธิปไตยก็เพราะ  ส่วนใหญ่ในภาคใต้ทั้งหมด  เขาเป็นฝ่ายค้าน  พรรคประชาธิปปัตย์เขาเป็นฝ่ายค้าน  เขาไม่เอา ก็เป็นสิทธิที่เขาจะไม่เห็นด้วย  แต่คำถามก็คือ  รัฐบาลคุณไปประกาศอะไรไว้  เสร็จแล้วจู่ๆคุณก็เลิกไปเฉยๆ  ซึ่งคุณไม่ทำตามสัญญา ซึ่งความจริงชาวบ้านอาจจะพ้องศาลรัฐธรรมนูญได้  แต่ไม่มีใครทำ   
แน่นอนเรื่องนี้เราไม่ได้มองแบบผิวเผิน เรื่องมหานครปัตตานี การปกครองในลักษณะพิเศษอย่างที่ว่า มันเป็นเป้าหมาย  แต่กระบวนการที่จะไปถึงตรงนั้นมันมีกระบวนการอีกเยอะ  มันมีการดำเนินการอีกหลายอย่างไม่ใช่จู่ๆแล้วไปตั้งขึ้นมา  ซึ่งบางคนไม่เข้าใจ  แม้กระทั่งพวกเราเองที่อยู่พรรคอื่นๆ  ดันไปเสนอเรื่องทบวง  ซึ่งเขาไม่เข้าใจ ในเรื่องหลักประชาธิปไตย  หลักการกระจายอำนาจ  และที่สำคัญเขาไมาเข้าใจคำว่าหลักยุทธศาสตร์  และหลักยุทธวิธี  คำว่ามหานครปัตตานี มันเป็นเป้าหมายสูงสุด  ไม่ใช่ว่าจู่ๆโดดไปทำ  มันมีขั้นตอนของมัน ซึ่งจะต้องดูหลายอย่างแม้กระทั่งในเรื่องของความพร้อม  ซึ่งถ้าเอาหลักการกระจายอำนาจมาพูด มันก็ไม่ใช่ทำเฉพาะมหานครปัตตานี เชียงใหม่ อิสาน ก็ต้องทำ  แต่รูปแบบอาจจะแตกต่างกัน ซึ่งต้องสอดรับกับบริบทของท้องถิ่น
 
ต้องการจะฝากข้อคิดอะไรกับรัฐบาลไหม
ผมไม่อยากจะฝากอะไร จริงๆ  ฝากไปก็ไม่มีประโยชน์  เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ  เขาไม่มีความรู้  คือคนที่จะทำเรื่องนี้ได้ ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ  และต้องเปิดกว้าง  และต้องรู้ถึงเหตุแห่งปัจจัย 
 
สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกอย่าง  เมื่อก่อนหน้านี้เขามีความรู้  แต่ทำไมไม่เอาความรู้นั้นมาใช้
คือมันมีเหตุของประโยชน์หลายอย่าง  ที่สำคัญมีอวิชา คือ บางทีรู้ครึ่งๆกลาง
 
ตอนนั้นทราบว่ามีท่านพลเอกชวลิต มาเป็นที่ปรึกษา
ท่านผลเอกชวลิตท่านก็มีคนขวางท่านตลอด ไม่ใช่ว่าจะไม่มี  ถึงแม้จะตั้งท่านเป็นรองนายก ก็ไม่ใช่ว่าจะผลักดันได้ฉลุยนัก เพราะมันมีตัวขัดขวาง  แม้ตอนที่คุณทักษิณเป็นนายก  พลเอกชวลิต ก็พยายามเสนอ คุณทักษิณก็ไม่เห็นด้วย  แต่กลับใช้นโยบายที่ท่านทำคือใช้กำปั้นเหล็กบนถุงมือกำมะหยี่  มันก็กลายเป็นเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย  ตอนหลังพอก่อนเลือกตั้งก็มาสารภาพผิดด้วยซ้ำว่าที่ท่านทำผิด  นี่ก็ชัดเจน  สมัยนั้นพลเอกชวลิตก็พยายามแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร  ซึ่งหลายคนก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร  คุณทักษิณ ก็เลยย้ายพลเอกชวลิต  ไม่ให้ดูแลเรื่องนี้ เรื่องความมั่นคง เพราะว่าแกไม่เข้าใจ   ดังนั้นความรู้มันจึงต้องเป็นองค์ประกอบหลัก  ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ  ต้องแยกได้ ระหว่างยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี  ต้องเข้าใจในเรื่องเป้าหมายสูงสุด  ต้องเข้าใจทฤษฎีเบื้องหลัง  และการดำเนินการมันต้องสอดรับกัน  แต่ที่ผ่านมาเขาโดดไปเลย เขาไปมองในเรื่องของยุทธวิธีเลย  และผลในดับเชิงปฏิบัติเลย  ไปมองว่าอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่เหมือนกับสมัย พคท.  ใช่ในการปฏิบัติมันไม่เหมือนกัน  แต่ในหลักการมันเหมือนกัน
 
หากมองว่ารัฐ ไม่สนที่จะแก้ปัญหาในแนวทางการกระจายอำนาจ  และหากนำทฤษฎีเดิมในการแก้ปัญหา โดยมองว่าของแก้ตัวในแบบเก่าอีกครั้ง มันจะเป็นอย่างไร
ผมไม่ค่อยห่วงรัฐบาลเท่าไหร่หรอก  แต่ห่วงอย่างเดียวก็คือ ความเดือดร้อนของประชาชน  รัฐบาลผมไม่ห่วงหรอก อยากทำอะไรก็ทำไป  เขาก็รู้ว่าผลเป็นอย่างไร มีแต่เสียกับเสีย  ถามว่าห่วงรัฐบาลไหม  ไม่ห่วงหรอก เพราะว่าพูดมาจนเยอะแล้ว  แต่ที่เป็นห่วงก็ห่วงความเป็นอยู่ของประชาชนเดือดร้อน  และไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่  ซึ่งหากเอนไปทางด้านขบวนการก็ถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่จัดการ  เอนเข้าไปทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ถูกขบวนการจัดการ  ถามว่าอยู่ปกติสุขไหม ตอบว่าไม่ได้  คุณก็ต้องเอาตัวรอดไปวันๆ  และยังมีปัญหาที่ทับซ้อนเข้าไปอีก เช่นยาเสพติด  อิทธิพลมืด  มันก็ยิ่งไปกันใหญ่  ประชาชนก็ยิ่งแย่ไปอีก  และพวกการเมืองท้องถิ่น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงไปอีก สร้างความปั่นป่วน  แสวงประโยชน์ตัวเอง ความใจแคบ  หาแต่ประโยชน์ตัวเอง  กดขี่พวกเดียวกันเอง
ความคิดเห็น :
1
อ้างอิง

อารีฟิน บินจิ
เราไม่สนใจว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะเอาหรือไม่เอา 'กระจายอำนาจ ' เพื่อแก้ไขความขัดแย้งในจังหวัดภาคใต้และหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศทั้งหมด ซึ่งประชาชนกำลังเรียกร้อง 'จังหวัดการจัดการตนเอง'  สิ่งที่ภาคประชาสังคมและประชาชนกำลังขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้คือการให้ความรู้กับประชาชนในเรือ่ง'การเมืองภาคประชาชน' อีกไม่นานเมื่อประชาชนได้รู้ตัวมากขึ้นๆพร้อมกับการที่ร่างกฏหมาย ปัตตานีหมานครหรือ ร่างกฏหมายจังหวัดจัดการตนเองเข้าสู่สภาฯประชาชนจะเฝ่ามองบทบาทของนักการเมืองขจองตนว่าจะอยู่ข้างประชาชนหร่อจะอยู่ข้างผู้ถืออำนาจ/อาวุธในมือ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าอีก 5-10 ปี เราจะเห็นนักการเมืองน้ำเน่า จะค่อนสูญพันธ์ไปจากสังคมไทย อินชะอัลลอฮ์
อารึฟิน บินจิ
 
อารีฟิน บินจิ [118.173.147.xxx] เมื่อ 22/01/2012 22:18
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :