สถิติ
เปิดเมื่อ18/01/2012
อัพเดท3/08/2012
ผู้เข้าชม62613
แสดงหน้า110410
ปฎิทิน
May 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
   
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 


เปลือยชีวิต พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (ตอนที่ 1) การเมืองไทย กับการแก้ปัญหาในภูมิภาคอาเซียน

อ่าน 5296 | ตอบ 1
ผมทำงานให้บ้านให้เมืองมาตั้งแต่ปี2497จบการศึกษามา โดยจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่หยุดที่จะทำงานให้กับบ้านเมือง  ตอนนี้ อายุ 80 จบตอนนั้นอายุ 20 ปี หมายความว่าทำงานสนองพระเดชพระคุณ  และรับใช้พี่น้องประชาชนมาเป็นเวลา 60 ปีเต็ม
 
ทุกท่านคงจะทราบว่าในชีวิตผมได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาด้านความมั่นคงให้กับประเทศ  ทำไมทำกันจนป่านนี้ยังไม่เลิก    60ปีเต็มๆ  ผมอยากจะเรียนให้กับลูกหลานได้ทราบว่า วันนี้ภาระกิจที่กำลังทำอยู่ก็ยังไม่จบ  ทั้งๆที่เป็นภารกิจที่ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจอะไรเลย
 
ทุกท่านคงจะจำได้ว่าบ้านเมืองของเรานั้น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ปรับปรุงบ้านเมืองของเรามานานแล้ว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลัง เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยของพระบาทสมเด็นพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 5แห่งพระบรมราชจักรีวงค์   โดยพระองค์ได้เห็นว่าบ้านเมืองเราจะต้องมีการพัฒนาทางด้านการเมือง  เพื่อให้มีความทันสมัย  ซึ่งคำว่าทันสมัยก็คือ ให้การเมืองการปกครองโดยเฉพาะในบ้านในเมืองได้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในโลก  การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในบ้านในเมือง
 
ในอดีตที่ผ่านมา เทคโนโลยียังไม่มีความก้าวหน้า  การทำมาหากินของผู้คนในบ้านในเมืองจะใช้แรงคน  แรงสัตว์เป็นหลัก   การทำนาก็ใช้วัวบ้าง ควายบ้างไถนา  ใช้คนทำตลอดเวลา  เครื่องจักรกลไม่มี  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยนั้นก็ยังไม่พัฒนาก้าวหน้า  เพราะฉะนั้นการทำมาหากินในลักษณะนี้ ที่เรียกว่าในลักษณะโบราณกาล  คือการทำมาหากินที่จะต้องใช้แรงคน แรงสัตว์เป็นหลัก  และเป็นเกษตรกรรมเป็นหลัก  เพราะฉะนั้นการเมืองการปกครองที่จะสอดคล้องกับเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม จึงต้องเป็นการเมืองการปกครองที่จะต้องมีผู้นำประเทศที่เข้มแข็ง  มีอำนาจ ใช้อำนาจนั้นในการบังคับ ใช้อำนาจนั้นในการจัดการ ให้ทุกๆบ้าน ให้ประชาชนได้ทำมาหากิน  ได้สะสมเสบียงอาหาร  ดำเนินการเพื่อใช้ชีวิตต่างๆไปได้ด้วยความเรียบร้อย   ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าในระบบการเมืองการปกครองที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจในอดีต  จึงต้องเป็นการเมืองการปกครองในระบบอบที่ต้องใช้อำนาจ  หรือการเมืองที่ใช้อำนาจเผด็จการเป็นหลัก  รูปแบบหนึ่งรูปแบบใด  เช่นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแบบประเทศไทยเราใช้ มีพระมหากษัตริย์เป็นใหญ่ใช้อำนาจทุกอย่างของท่านแต่เพียงพระองค์เดียว   นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง
 
ต่อมาบ้านเมืองมีการพัฒนามากขึ้น  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาขึ้น เริ่มมีเครื่องจักรไอนำ มีเครื่องจักร  เมื่อก่อนเวลาเราผลิตของเราใช้มือทำ กว่าจะได้อะไรแต่ละอย่างไว้ใช้ไว้สอยต่างๆ  ต่อมาบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า มีเครื่องจักรสามารถที่จะผลิตอะไรได้จำนวนมากๆ  เมื่อผลิตได้จำนวนมากมันเหลือเกินกว่าที่เราจะใช้เอง  ก็จึงต้องมีการนำไปส่งไปขายต่างชาติ  ไปขายที่นั่นที่นี่  เพราะฉะนั้นระบบการผลิตในลักษณะนี้ที่เราเรียกว่าระบบ Market Economy  หรือเศรษฐกิจการตลาด  ผลิตจำนวนมากๆซึ่งนอกเหนือจากความต้องการไว้ใช้แล้ว ก็ยังมาขายให้กับคนอื่นได้อีกด้วย
 
การผลิตในลักษณะนี้ซึ่งผมอยากจะยกตัวอย่างให้ฟัง  ถ้าเราจะผลิตทีวีสักเครื่อง คนจะต้องยืนกันเป็นแถวเลยบนโต๊ะนี้  คนแรกเอาตู้เครื่องรับวีทีมา คนที่สองเอาหลอดใส่ คนที่สามเอาชัดซีใส่  คนที่สี่เอาไอ้นั่นใส่ คนที่ ห้า   จนถึงคนสุดท้ายออกมาเป็นเครื่อง ซึ่งสมัยก่อนเป็นอย่างนี้  พอใช้เครื่องจักรทำไม่ว่าจะผลิตรถยนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่  ที่เราเรียกว่า Line Product ผลิตเป็นแถว ต้องมีคนหลายๆคนเข้ามาร่วมในการผลิต เมื่อก่อนจะผลิตอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งต้องใช้คนต้องสิบคน(ยกตัวอย่าง) ซึ่งคนสิบคนนั้น ต้องมีความสามารถ มีเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีความทัดเทียมกัน ไม่ใช่คนนี้เก่งกว่าคนนี้ คนนี้ต้องดีกว่าคนนี้  ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว ทุกคนมีความเสมอภาค  เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าสิบคนในสายการผลิตนี้ต้องมีความทัดเทียมกัน ถึงจะทำให้การผลิตในลักษระนี้ ที่เรียกว่า Market Economy  เป็นไปได้  ซึ่ง Market Economyนี้ ต่อมาจะต้องมีผู้ลงทุน มีผู้ใช้แรงงานอะไรต่างๆ ซึ่งเราเห็นกันอยู่ทุกวัน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่านั่นคือรูปแบบการผลิตในรูปแบบใหม่    การเมืองการปกครองแทนที่คนหนึ่งจะมีอำนาจ นอกนั้นเป็นลูกมือหมด  คนหนึ่งเป็นนาย ที่เหลือเป็นทาสหมด  ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงก็คือทุกคนต้องมีสิทธิเสรีภาพที่ทัดเทียมกัน  มีความเสมอภาคทัดเทียมกัน ควรจะได้รับการตอบแทนเท่าเทียมกัน  การเมืองในลักษณะนี้เราเรียกว่าการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปหตย คือการเมืองการปกครองของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่หรือ  หรือคนส่วนใหญ่นั้นมีสิทธิเสรีภาพ และมีทุกสิ่งทุกอย่างอันพึงจะได้รับ
 
เห็นไหมครับ  ถ้าหากว่าบ้านเมืองมีการพัฒนาไป วิทยาศาสตร์ มีความเจริญก้าว ใช้ระบบเศรษบกิจแบบทุนนิยมเข้ามา อย่างที่อธิบายไปเมื่อสักครู่   แล้วหากเราใช้ระบบการเมืองการปกครองแบบคนละเรื่อง อย่างเช่นใชะการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ  มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวที่เหลือไม่ได้  จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเรา หรือเป็นลูกน้องเราอย่างนั้นไม่ได้  ไม่เหมาะสม  จึงเห็นได้ว่าการเมืองการปกครองจะต้องสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจ  เมื่อมีการเมืองการปกครองที่เหมาะสมและสอดคล้อง ก็จะทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า  และเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าก็จะส่งผลให้การปกครองมีความเข้มแข็งขึ้น  และการเมืองการปกครองทีร่เข้มแข็งก็จะมาพัฒนาเศรษบกิจให้มีความก้าวหน้า  นี่คือวงรอบหรือวงจร  หรือความสัมพันธ์ระหว่างเศรษบกิจกับการเมือง
 
เมื่อประเทศชาติมีการเปลี่ยนแปลงไป  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดีขึ้น  ทุกคนเข้าร่วมดำเนินการขึ้นมา ก็ต้องใช้การเมืองการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย  ซึ่งในระบอบอื่นนั้นไม่สอดคล้อง หากนำมาใช้ก็จะไม่มความเจริญก้าวหน้า  และจะมีปัญหาโดยตลอด
 
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในโลกนี้  ซึ่งท่านเห็นว่าโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ท่านจึงทรงเห็นว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้สอดคล้อง  ท่านก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เช่นยกเลิกระบบทาส ความเป็นทาส  เป็นประชาชนธรรมดาควรจะมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน ท่านเริ่มให้พี่น้องประชาชนเริ่มเรียนรู้ในเรื่องการปกครองตัวเอง  ได้เรียนรู้ในเรื่องของการใช้อำนาจ  ซึ่งในสมัยพระองค์ท่าน ท่านทรงตั้งสุขาภิบาล ให้มีเทศบาล  มีอะไรต่างๆ  คือสถานที่ที่พี่น้องประชาชนจะรวมตัวกันและดูแลตัวเอง  และเลือกการปกครองโดยพี่น้องประชาชนกันเอง  ให้พี่น้องประชาชนได้ฝึกที่จะเรียนรู้วิธีการปกครองตนเองต่างๆ
 
ในสมัยรัชกาลที่ 5พระองค์ท่าน เริ่มการเปลี่ยนแปลง เริ่มสอนให้พี่น้องประชาชนเริ่มมีการฝึกปรือเริ่มเรียนรู้อะไรต่างๆ  ซึ่งทำพร้อมๆกับประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งประเทศญี่ปุ่นนั้นในสมัยนั้นคือกษัตริย์เมจิ  ซึ่งทำมาพร้อมๆกันและทั้งสองพระองค์นั้นซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์ทั้งคู่  ซึ่งตอนนั้นรัชกาลที่ 5ของเรามีพระชนมพรรษาแค่ 15-16ปี ซึ่งพระองค์ท่านทรงงานหนักมาตลอด  ปรากฏว่าประเทศญี่ปุ่น ในการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช  หรือที่พระมาหกษัตริย์เป็นใหญ่ มาเป็นประชาธิปไตย์  เขาทำได้สำเร็จ บ้านเมืองถึงมีความเจริญก้าวหน้า  ของเราเผอิญไม่สำเร็จ เพราะพระองค์ท่านทรงงานเยอะที่นอกเหนือจากเรื่องการเมืองการปกครอง  ซึ่งท่านมีงานที่สำคัญกว่าก็คือการต่อสู้กับการแผ่อิทธิพลของต่างชาติ เช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส  ท่านทรงต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชไว้  พระองค์ท่านทรงงานหนักมาก จึงทรงเสด็จสวรรคตเร็ว  ภาระหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองจึงถูกส่งมายังพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 6 ซึ่งก็ทรงสินพระชนม์เร็วอีก  ซึ่งพระองค์ก็ทรงพยายามทำงานอย่างเต็มที่
 
หากเราได้อ่านหนังสือในอดีต เราจะเห็นว่าต่างชาติได้พูดถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ประชาธิปไตย    พระองค์ท่านเขียนหนังสือโดยใช้นามแฝงว่าอัศวพาหุ  ต่อสู้อย่างคนธรรมดาในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งอยากจะยกตัวอย่างให้ฟัง  ซึ่งพระองค์ท่านทรงเริ่มด้วยเรื่องเสรีภาพ อะไรต่างๆจนฝรั่งเรียกท่านว่า Democratic Ink   พระองค์ท่านทรงทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อปูพื้นฐานแต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ  ภาระหน้าที่นั้นจึงส่งมาถึงรัชกาลที่ 7  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
ในสมัยพระองค์ท่าน ท่านก็พยายามที่จะร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมอะไรต่างๆเพื่อให้อำนาจต่างๆแก่ประชาชน แต่ยังไม่ทันให้ก็ปรากฏว่าปู้ย่าตายายของเรากลุ่มหนึ่งที่ประกอบด้วยพลเรือน ตำรวจ ทหาร เรียกตนเองว่าคณะราษฏร์ หรือคณะราษฏร รวมตัวขึ้นไปยึดอำนาจเอาจากพระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2475   พระองค์ท่านเมื่อทราบว่าคณะนี้เข้ามายึดอำนาจ ก็ทรงถามว่าจะเอาไปไหน  เขาบอกว่ามาให้ประชาชน  และเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย พระองค์ท่านดีใจมาก  พระองค์ท่านก็บอกว่าเอาไปเลย ให้ แต่ขอให้เอาไปให้ประชาชนนะ  อย่าเอาไปให้คนหนึ่งคนใด หรือคณะหนึ่งคณะใด ซึ่งมันจะกลายเป็นการเมืองการปกครองแบบระบอบเผด็จการอีก ท่านไม่ต้องการ และไม่มีพระราชประสงค์อย่างนั้น ซึ่งท่านเองก็ทรงจะทำอยู่แล้ว  เมื่อทราบว่าคณะราษฏร์ทำเรื่องนี้ ท่านดีใจ ให้เลย   เพราะฉะนั้นเราจะเห็นในพระรูปของท่าน ซึ่งหากลูกหลานไปดูในรัฐสภา  และที่ฐานพระรูปจะเขียนไว้ว่า   ท่านต้องการสละอำนาจของท่านให้กับประชาชน ไม่ต้องการสละอำนาจให้กับคนหนึ่งหรือคณะหนึ่งคณะใด
 
ปรากฏว่า 2475  ยึดมาแล้ว 2467  2477 มันก็ยังไม่ถึงประชาชนสักที  การที่อำนาจไปถึงประชาชนพี่น้องประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้  ต้องปกครองตนเอง  ต้องดูแลตนเอง  เพราะฉะนั้นเมื่อพี่น้องประชาชนเป็นใหญ่  การปกครองก็ต้องใช้อำนาจนั้นดำเนินงานทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่  แน่นอนที่สุดใครมีอำนาจก็ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าเป็นของประชาชนส่วนรวมก็ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม   แต่ก็ปรากฏว่าอำนาจยังไม่ถึงพี่น้องประชาชน  พระองค์ท่านเตือนก็แล้ว  อะไรก็แล้ว ก็ไม่ทำอย่างที่กราบบังคมทูลพระองค์ท่านเอาไว้  พระองค์ท่านจึงทรงสละราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.2477นั่นคือความขัดแย้งในสังคมครั้งแรก  ซึ่งเกิดความขัดแย้งเป็นครั้งแรกระหว่างพระเจ้าอยู่หัวกับคณะราษฏร์ซึ่งเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป   แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาความขัดแย้งก็เกิดขึ้นเป็นรูปแบบต่างๆ เพราะอำนาจไม่เคยถึงพี่น้องประชาชน  จนถึงวันนี้ที่เราบอกว่าเราใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย  หรือการปกครองโดยพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่   เพื่อผลประโยชน์ของพวกเรา มันไม่ถึงสักที  ไม่งั้นป่านนี้คงไม่มีพวกเสื้อแดงเรียกร้องหาประชาธิปไตย  หรือการปกครองที่เป็นธรรม  การปกครองที่เป็นของประชาชน  หรือแม้แต่พวกเสื้อเหลืองก็เรียกร้องประชาธิปไตยเหมือนกัน  ทุกฝ่ายต่างเรียกร้องประชาธิปไตย  นั่นแสดงว่าที่ผ่านมานั้นยังไม่ได้เป็นประชาธิปไตยกันสักที
 
เมื่อการปกครองไม่ได้เป็นของประชาชน คนที่ใช้อำนาจนี้ก็ไม่ได้ส่งมาสร้างประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชน  ฉะนั้นในสังคมของคนไทยจึงแบ่งเป็นชนชั้น  ชนชั้นปกครอง  กับชนชั้นที่อยู่ภายใต้การปกครอง  เพราะอำนาจมันไม่เป็นของประชาชนส่วนใหญ่ มันเป็นของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ของทหาร หรือเป็นของใครก็แล้วแต่ที่เข้ามายึดอำนาจ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
 
เพราะฉะนั้น โครงสร้างขจองประชากรในประเทศไทยเราเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมกลับ  ข้างบนนิดเดียว ซึ่งเป็นคนรวย ข้างล่างมหาศาลเลย ซึ่งเป็นคนชน  และคนจนกับคนรวยนั้นแตกต่างกันมาก  วันนี้แตกต่างไปสิบกว่าเท่าแล้ว  ต่อไปถ้าไม่แก้ก็เป็นยี่สิบ สามสิบเท่า  จนป่านนี้แล้ว เจ็ดสิบเก้าปีนี้แล้ว  เรายังไม่สามารถที่จะสร้างโครงสร้างของพี่น้องประชาชนเป็นรูปแบบๆทรงกระบอก  ข้างบน เป็นรูปคล้ายๆกับลูกลักบี้นิดเดียว ข้างล่างก็นิดเดียว ข้างบนคนรวยก็นิดเดียวข้างล่างคนจนก็นิดเดียวแต่  แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศที่เร้าเรียกว่าคนชั้นกลางมีสิทธิเสรีภาพทุกอย่างเสมอกันหมด
 
ประเทศที่เจริญแล้วมีการเมืองการปกครองที่เป็นธรรมหรือ  การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย  หรือเป็นการเมืองการปกครองของประชาชนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ได้โครงสร้างของประชากรจะมีแต่ชนชั้นกลางเป็นหลัก
 
แน่นอนคนรวยมีน้อย คนจนมีน้อย แต่ประเทศที่มีการเมืองการปกครองที่ไม่ได้เป็นของประชาชนเป็นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง มันจะเป็นแบบปีรามิด  ซึ่งมันแตกต่างกันมาก   ก็ต้องขัดแย้งกัน
 
ความขัดแย้งหรือการขัดแย้งกันจะเกิดในรูปแบบต่างๆ  ครั้งแรกเกิดเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าทรง
สละราชสมบัติ นั่นคือความขัดแย้งในสังคมขั้นแรก  ถัดมาก็เกิดการยึดอำนาจกันโดยทหาร  ยึดมาแล้ว 27 ครั้ง ยึดแล้วยึดอีก ยึดทีก็ได้ดอกไม้กันเพราะประชาชนเขาเบื่อรัฐบาลเก่า  เพราะคอรัปชั่นบ้าง กินบ้านกินเมืองบ้าง  พอเอาทหารออกมาประชาชนก็ดีใจ
 
ทหารพอเข้ามายึดเอานาจแล้วก็ควรจะสร้างประชาธิปไตยทำให้การเมืองการปกครองเป็นของประชาชนให้ได้  ปรากฏว่าทหารที่ออกมายึดอำนาจตั้ง 26 ครั้ง สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง สร้างมันอยู่อย่างเดียวก็คือสร้างรัฐธรรมนูญ  ทหารเข้ามายึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญเก่าท้ง สร้างใหม่  ร่างใหม่แล้วมีการเลือกตั้ง พอเลือกตั้งได้พรรคหนึ่ง  ทหารก็เข้ามายึดอำนาจฉีกอีก  ร่างใหม่อีกฉบับอีก  ทำวนเวียนกันอย่างนี้ 27 ครั้ง แต่ละครั้งก็ได้รัฐธรรนูญหนึ่งฉบับ  แต่ไม่ได้ปรนะชาธิปไตยเสียที  ได้แต่รัฐธรรมนูญ  เพราะอะไร  ก็เพราะคนไทยเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญสร้างประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่
 
เมืองนอกอย่างอังกฤษ ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญด้วยแต่ยังมีการปกครองแบบประชาธิปไตย  สหรัฐมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวแก้อยู่ในนั้น มีไม่กี่มาตรา  แต่ของเราแต่ละเล่มร่างกันหนาเป็นตั้ง  ร่างกันจนถึงวันนี้มีทั้งมหด 18 ฉบับ  18ฉบับที่มี วันนี้ยังไม่พอเลย  ยังมีถกเถียงกันอยู่เลยว่าจะต้องแก้ จะเอาปีไหนอีก  พูดกันถึงเรื่องนี้แต่ไม่พูดในเรื่องการเมืองการปกครองที่เป็นธรรม
 
การเมืองการปกครองที่เป็นอยู่ บางทีเราเรียกว่าเป็นการเมืองสองมาตราฐานที่เขาว่า  หรือการเมืองการปกครองที่ไม่ได้เป็นของประชาชน นี่คือหัวใจ หรือการแสดงที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆในชาติ ทหารยึดอำนาจก็เป็นรูปแบบของความขัดแย้ง  หรือลูกหลานของประชาชนที่ออกมาเดินเมื่อตุลาคม 2516บีบให้รัฐบาลของจอมพลถนอมให้รัฐธรรมนูญแก่พี่น้องประชาชนเสียที จะได้มีประชาธิปไตย เพราะทหารเข้ามายึดอำนาจอยู่นาน ขอรัฐธรรมนูญเพื่อจะเป็นประชาธิปไตย  พี่น้องก็ออกมาเดินขบวนกัน
 
เมื่อปี 2516ผมทำงานอยู่ที่ชายแดน วิ่งกลับมาที่กรุงทพฯ เจอเลขานุการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชื่อนายเชาวัตร สุลาภา เป็นเลขาของรัฐมนตรีมหาดไทยก็คือจอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งตอนนั้นยึดอำนาจเป็น ผบ.ทบ.ด้วยและเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยด้วย  ผมกลับมา ผมเจอเชาวัตร ที่สวนรื่นฤดี ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพบก  ผมก็ถามว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน  เชาวัตรก็บอกว่า พี่ๆ ลูกหลาน นักเรียน นิสิตนักศึกษาเดินขบวน  ผมก็บอกว่า เดินทำไม   เขาก็บอกว่าจะเอารัฐธรรมนูญ  อ้าว  แล้วทำไมไม่ให้เขาหละ  ตอนนั้นก็มีตั้งสิบฉบับแล้ว ให้พี่น้องไปเลย สองสามฉบับก็ให้เขาเอาไป 
 
ซึ่งตอนนั้นหากทำอย่างที่ผมว่า เด็ก ลูกหลานต้องการรัฐธรรมนูญก็ให้เขาไปเพื่อต้องการจะสร้างประชาธิปไตย  ก็เอาไปเลยลูก เอาไปเลยไปเลือกกันดู ป่านนี้ทหารเป็นฮีโร่ไปแล้วเห็นมั๊ย  แต่กลับไปให้เขาบังคับไม่ให้มีรัฐธรรมนูญต่างๆ ซึ่งทั้งๆที่มันไม่ได้เป็นเครื่องหมาย  หรือไม่ได้เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตยเลย  ปกติแล้วเราต้องสร้างประชาธิปไตยก่อน  แล้วจึงมาร่างรัฐธรรมนูญ หรือธรรมนูญแห่งรัฐ เพื่อรักษาระบอบที่เราทำไว้ มาจดไว้ว่าจะทำอย่างไรกัน  แล้วใครมาขัดขืนไม่ได้  ไม่ได้ว่าร่างแล้วจึงมาสร้างประชาธิปไตย   คนละอย่างกัน
 
 
เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 มีการเดินขบวน  แล้วทหารมายึดอำนาจอีก ยึดอำนาจแล้วไม่ไหวแล้วตอนนี้เกิดมีคนหนีเข้าป่าไป เอาวุธมาต่อสู้กับพวกเรา 20  ปีนะครับ ลูกหลานคงเกิดทัน เราเรียกการต่อสู้ในบ้านในเมืองเรากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  สู้กันยี่สิบกว่าปี นี่ก็คือรูปแบบของความขัดแย้งอย่างหนึ่ง   วันนี้รูปแบบของความขัดแย้งก็คือ เสื้อแดงเสื้อเหลืองตีกัน  กลุ่มนั้นกับกลุ่มนี้ตีกัน  วันนี้อันตรายมากกว่าสมัยเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เรามีสงครามกลางเมือง  หรือซิลวิลวอร์กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  หรือพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่ง หรือกับพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งที่เป็นพวกเราต้องหนีไปอยู่ในป่าเพราะทนต่อความอยุติธรรมหรือความไม่ทัดเทียมกันในสังคมนี้   เขาต้องหันมาจับปืนมาสู้กับเรา กว่าจะแก้ไขกันได้ใช้เวลานาน  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา
 
เมื่อเกิดความขัดแย้งดงกล่าวก็มีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง  พอแก้ปัญหาความขัดแย้งได้  ซึ่งผมเป็นคนแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านในเมืองของเราเมื่อพี่น้องส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา ซึ่งมันเกิดขึ้นตลอดยี่สิบปี  แต่เราใช้เวลาในการแก้ปัญหาสี่ปีเต็ม  
 
พอเราแก้ความขัดแย้งเฉพาะหน้าได้แล้ว  ผมก็พยายามที่จะมาแก้เรื่องการปกครองที่ไม่เป็นธรรมซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานในบ้านในเมืองเรา   เพราะบ้านเมืองเราใช้การปกครองที่ไม่เป็นธรรม จึงทำให้สังคมขัดแย้ง  สังคมขัดแย้งเกิดในรูปแบบต่างๆเรียกว่าความขัดแย้งเฉพาะหน้า   เมื่อแก้ตรงนี้ได้แล้ว ก็ต้องกลับมาแก้ปัญหาพื้นฐานคือการปกครองที่ไม่เป็นธรรม   หรือการสร้างประชาธิปไตย
 
เมื่อตอนที่ผมเป็นทหารอยู่ เป็นผู้บัญชาการทหารบก รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด   แก้ไขเรื่องตรงนี้ได้เรียบร้อยแล้วก็มาแก้ปัญหาเรื่องการปกครองที่ไม่เป็นธรรม   แก้ไม่ได้ เพราะตอนที่แก้ สงครามไม่มีใครอยู่ในบ้านในเมืองแล้ว คนรวยหนีไปหมดแล้ว  แม้แต่อเมริกันก็หนี  มิตรประเทศ แพ้สงครามในเวียดนามก็หนีกลลับหมด เหลือแต่ประเทศไทยเท่านั้น ที่เผชิญหน้าอยู่กับพรรคอมมิวนิสต์ ที่อินโดจีนไปหมด ทั้งลาว ทั้งเวียดนาม ทั้งกัมบูเดีย  เขมร เป็นคอมมิวนิสต์หมด  เหลือเราเป็นด่านหน้าของความเป็นเสรีประชาธิปไตย  เราเป็นด่านหน้าจริงๆ 
 
วันนั้นมันเป็นการต่อสู้เพื่อที่จะเอาประเทศที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นสิงค์โปร  อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน  ฟิลิปินส์อยู่รอดได้  ก็ไทยแลนด์เรานี่ครับ  ที่เป็นหน้าด่าน    พอเราแก้ปัญหาเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์หรือการต่อสู้ในประเทศไทยเสร็จแล้ว   ผมก็มาแก้ปัญหาเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งก็แก้ไม่ได้แล้ว  ตอนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นทำหน้าที่แทนนายก  ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีกลาโหม  ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีมหาดไทย ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีต่างประเทศ  ทำหมด มันก็แก้ได้  พอกลับมาแก้เรื่องการเมืองการปกครอง กลับมาอยู่แถวห้า   เพราะในคณะรัฐมนตรี ทหารมันไม่เกี่ยวไปอยู่แถวห้า มันจึงแก้ไม่ได้   นั่นคือสาเหตุที่ผมลาออกจากตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด   คือตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก  และรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด    ลาออกมาทั้งๆที่มีอายุราชการเหลืออีก สี่ปี   ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในโลกเขาทำอย่างนี้
 
.......   ไม่มีมนุษย์หน้าไหนลาออก   แล้วทำไมไม่ยึดอำนาจเสียเลยตอนนั้น  ยึดไม่ได้ เพราะว่าเป็นคนที่ปราบการยึดอำนาจมาสองหน  การยึดอำนาจที่ทำโดยท่านพลตรีมนูญกริช รูปขจร   ปราบแล้วทำไงไปเรียกมันมารายงานตัว หันหลังมาเตะตูดที แล้วส่งไปสิงค์โปร  นี่มันสมัยนั้น  เดี๋ยวนี้ไม่ไหว เดี๋ยวนี้ใช้ฆ่ากันเลย  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่เล่าให้ลูกหลานฟังว่าทำไมถึงได้ออกมา ออกมาเดินต๊อกๆอยู่สิบปี จากมีอำนาจมหาศาลมาสู่ไม่มีอำนาจเลย เดินมาประมาณ สองแสนกิโลเพื่อเป็นนายก เดินมาสิบปี
 
แต่แทนที่จะมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ ผมดันเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องนายธนาคาร  นี่คือความเป็นจริงที่พูดถึง ในตอนนั้น ประเทศไทย สามารถป้องกันการรุกราน  หรือป้องกันประเทศเสรีในเอเซียนี้  หลังจากนั้นแล้ว  ผมเอาความรู้ไปช่วยประเทศมาเลเซียในการแก้ปัญหา  ท่านมหาเดร์ ตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี  ผมไปดูงานในประเทศมาเลเซีย  เขาพาไปดู  และบรรยายสรุปให้ฟัง  ที่ประเทศมาเลเซียมีภูเขาจากเหนือมาใต้   คอมมิวนิวต์ มาเลย์อยู่บนเขาเหมือนงูจากเหนือถึงใต้  เพื่อนก็บอกว่าเอทำไมงูมันไม่มีหัว   หัวมันอยู่ไหน คนที่เป็นนายทหารมาเลย์บอกว่าหัวอยู่ในประเทศไทย  ทำไมประเทศไทยปล่อยอย่างนั้นได้อย่างไร  ไม่ช่วยเพื่อนบ้าน  เรื่องนี้ก็ต้องแก้ไขให้ได้   กลับมาก็มาแก้ไข  วิธีแก้ไขก็คือ  ความขัดแย้งมันแก้ได้   ผมไปเรียกคนที่เป็นหัวหน้า พรรคคอมนิวนิสต์มาเลย์เป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีน  ในฝันผมเมื่อเด็กๆ  ผมได้ยินเรื่องจีนเป็งมาตลอด  ซึ่งจีนเป็งเป็นหัวหน้าพรรคคอมนิวนิสต์ของมาเลย์  ผมฝันว่าเขาต่อสู้มาตั้งสี่สิบปี คงจะสูงแข็งแรง  ผมเผ้าๆไม่ได้ตัด หน้าตาต้องมีรอยบาดแผลมาก  พอมาเจอจีนเป็งจริง  ขาว  ตัวกลม   อยู่ที่ไหน  เขาอยู่หาดใหญ่     
ความคิดเห็น :
1
อ้างอิง

john henry
เมื่อการปกครองไม่ได้เป็นของประชาชน คนที่ใช้อำนาจนี้ก็ไม่ได้ส่งมาสร้างประโยชน์ให้แก่พี่น้องประชาชน  ฉะนั้นในสังคมของคนไทยจึงแบ่งเป็นชนชั้น  ชนชั้นปกครอง  กับชนชั้นที่อยู่ภายใต้การปกครอง  เพราะอำนาจมันไม่เป็นของประชาชนส่วนใหญ่ มันเป็นของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ของทหาร หรือเป็นของใครก็แล้วแต่ที่เข้ามายึดอำนาจ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
 

เพราะฉะนั้น โครงสร้างขจองประชากรในประเทศไทยเราเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมกลับ  ข้างบนนิดเดียว ซึ่งเป็นคนรวย ข้างล่างมหาศาลเลย ซึ่งเป็นคนชน  และคนจนกับคนรวยนั้นแตกต่างกันมาก  หนังสือวันนี้แตกต่างไปสิบกว่าเท่าแล้ว  ต่อไปถ้าไม่แก้ก็เป็นยี่สิบ สามสิบเท่า  จนป่านนี้แล้ว เจ็ดสิบเก้าปีนี้แล้ว  เรายังไม่สามารถที่จะสร้างโครงสร้างของพี่น้องประชาชนเป็นรูปแบบๆทรงกระบอก  ข้างบน เป็นรูปคล้ายๆกับลูกลักบี้นิดเดียว ข้างล่างก็นิดเดียว ข้างบนคนรวยก็นิดเดียวข้างล่างคนจนก็นิดเดียวแต่  แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศที่เร้าเรียกว่าคนชั้นกลางมีสิทธิเสรีภาพทุกอย่างเสมอกันหมด 
 
john henry [171.6.246.xxx] เมื่อ 9/05/2015 02:23
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :